วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP)

ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP)
(Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement – TPP)

ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement – TPP) ถูกจุดประกายครั้งแรกที่ขอบสนาม (sidelines) การประชุมผู้นำ APEC (Asia-Pacific Economic Cooperation) ที่เม็กซิโกในปี 2002โดย 3 ประเทศ ได้แก่ นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และชิลี และเคยเป็นที่รู้จักในชื่อ P3-CEP หรือ Pacific Three Closer Economic Partnership ต่อมาบรูไนซึ่งเคยเข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ (Associated Member หรือ Observer) ได้ลงนามเป็นสมาชิกในเดือนสิงหาคม ปี 2005 ทำให้ TPP มีจำนวนสมาชิกเพิ่มเป็น 4 ประเทศ จึงถูกเรียกว่า Pacific 4 หรือ P4 แต่ยังไม่มีบทบาทสำคัญและไม่ได้รับความสนใจจากประเทศสมาชิก APEC มากนักจนกระทั่งเมื่อประธานาธิบดีสหัฐฯ ประกาศสนับสนุน
TPP เป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีลักษณะกว้างขวาง (Comprehensive Agreement) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดภาษี (tariff) ในกลุ่มประเทศสมาชิกลง 90% ภายในปี 2006 และมุ่งให้ภาษีเป็น 0% ภายในปี 2015 นอกจากนี้ยังมีการเจรจาครอบคลุมประเด็นหลักอื่นๆ อาทิ การค้าสินค้า(Trade in Goods) กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) การเยียวยาทางการค้า (Trade Remedies) มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures) อุปสรรคทางการค้า (Technical Barriers to Trade) การค้าบริการ (Trade in Services) ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) และนโยบายการแข่งขันและการจัดซื้อจัดหาโดยรัฐ(Government Procurement and Competition Policy) และต่อมาในภายหลัง ออสเตรเลีย เปรู และเวียดนาม ได้ประกาศความจำนงเข้าร่วมกรอบเจรจานี้ ตามมาด้วยมาเลเซียในปี 2010 ทำให้ TPP มีสมาชิกจำนวนทั้งสิ้น 9 ประเทศ ขณะนี้ แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ได้แสดงความสนใจที่จะขอเข้าร่วมด้วย อีกทั้งเป็นไปได้ว่าไต้หวันจะขอเข้า TPP ด้วยเช่นกัน จึงพอสรุปได้ว่า ขณะนี้ทุกประเทศในอาเซียนที่เป็นสมาชิกเอเปค ได้แสดงความสนใจหรือเข้าสู่กระบวนการเจรจา TPP แล้ว ยกเว้นประเทศไทยเท่านั้น

ความตกลง TPP มีลักษณะหลักสำคัญ 5 ประการ ได้แก่
1.ยกเลิกภาษีนำเข้าและมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีทั้งสินค้าและบริการ
2.เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานและการผลิต
3.ครอบคลุมถึงประเด็นที่มีความคาบเกี่ยวกัน รวมถึงความสอดคล้องด้านกฎระเบียบ การแข่งขันและการส่งเสริมธุรกิจ SME
4.ส่งเสริมการค้าและการลงทุนในสินค้าและบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่
5.สามารถตอบรับต่อภาวการณ์เปลี่ยนแปลงทางการค้าในอนาคตและเอื้ออำนวยต่อการเปิดรับประเทศสมาชิกใหม่เข้าร่วมเป็นภาคี

โดยความตกลง TPP จะมีขอบเขตอย่างกว้างขวาง (comprehensive) ครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าทั้งหมด รวมถึงประเด็นที่คาบเกี่ยวกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุน เสริมสร้างการค้าในระดับภูมิภาค ส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีส่วนร่วมในการค้าระหว่างประเทศ และส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษบกิจ และยกระดับมาตรฐานการครองชีพ
ข้อบทของความตกลง TPP ได้มีการเจรจาต่อรองเกือบเสร็จทุกหัวข้อแล้ว มีเพียงบางหัวข้อเท่านั้นที่ยังมีประเด็นเฉพาะที่ยังไม่สามารถสรุปจบได้ สำหรับข้อทบของ TPP ครอบคลุมทุกด้านของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ ได้แก่ การแข่งขัน ความร่วมมือและการเสริมสร้างขีดความสามารถ การบริการข้ามพรมแดน พิธีการด้านศุลกากร พาณิชย์อิเล้กทรอนิกส์ สิ่งแวดล้อม การบริการด้านการเงิน การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ทรัพย์สินทางปัญญา การลงทุน แรงงาน ประเด็นด้านกฎหมาย การเปิดตลาดสินค้า กฎถิ่นกำเนิดสินค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า โทรคมนาคม การผ่านแดนชั่วคราว สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และมาตรการเยียวยาการค้า

สำหรับความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP ถือเป็นยุทธศาสตร์สหรัฐอเมริกาต่อเอเชีย นั้นก็คือ การขยายความสัมพันธ์กับประเทศและหุ้นส่วนใหม่ๆ อันได้แก่

อินเดีย  : พยายามที่จะส่งเสริมปฏิสัมพันธ์กับอินเดียให้มากขึ้น โดยอินเดียกำลังจะมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
อินโดนีเซีย : สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับอินโดนีเซีย กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว  เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วนายบารัค โอบามา ได้เดินทางไปเยือนอินโดนีเซียเป็นครั้งแรก ทำให้ความสัมพันธ์กระชับแน่นแฟ้นขึ้นมาก สหรัฐฯกำลังเพิ่มความร่วมมือกับอินโดนีเซียมากขึ้น โดยเฉพาะปีนี้ ที่อินโดนีเซียเป็นประธานอาเซียน และสหรัฐฯกำลังจะเข้าร่วมประชุม East Asia Summit ที่อินโดนีเซีย สหรัฐฯกำลังมองเห็นบทบาทของอินโดนีเซียที่กำลังผงาดขึ้นมาในเวทีโลก
มาเลเซีย : อีกประเทศที่สหรัฐฯให้ความสำคัญ คือ มาเลเซีย ซึ่งความสัมพันธ์ทวิภาคีกระชับแน่นแฟ้นมาก ขึ้น ทั้ง 2 ประเทศได้ร่วมมือกันในการเจรจา FTA ในกรอบ Trans-Pacific Partnership หรือ TPP
เวียดนาม : ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปฏิสัมพันธ์กับเวียดนามได้เพิ่มขึ้นมาก และเวียดนามเป็นอีกหนึ่ง ประเทศที่กำลังเจรจา TPP กับสหรัฐฯ ในการพบปะกันระหว่าง Hillary Clinton กับนายกรัฐมนตรีของเวียดนาม เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะยกระดับความสัมพันธ์ให้เป็นระดับที่เรียกว่า หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ หรือ strategic partnership อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯยังคงห่วงกังวลต่อปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม
สิงคโปร์ : อีกประเทศที่สหรัฐฯให้ความสำคัญ คือ สิงคโปร์ โดยสิงคโปร์เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เข้าร่วม TPP และในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม TPP รอบที่ 6 ส่วนสำคัญที่สุดที่สหรัฐหันมาสนับสนุน TPP ก็เพราะสหรัฐกลัวการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกโดยไม่มีสหรัฐ และกลัวว่าอิทธิพลทางเศรษฐกิจของสหรัฐจะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ
รวมทั้งแนวโน้มที่สำคัญอย่างยิ่งในภูมิภาคที่ทำให้สหรัฐฯสนใจคือ แนวโน้มของการรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกโดยไม่มีสหรัฐรวมอยู่ด้วย ซึ่งรวมถึงกรอบ ASEAN+3 ที่จะพัฒนาไปเป็นประชาคมเอเชียตะวันออก และแนวคิดการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชียตะวันออก(East Asia Free Trade Area : EAFTA) นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดตั้ง FTA อาเซียน-จีน อาเซียน-อินเดีย อาเซียน-ญี่ปุ่น อาเซียน-เกาหลี ฯลฯ และยังมี FTA ทวิภาคีอีกมากมาย อาทิ FTA ไทย-จีน ไทย-ญี่ปุ่น พัฒนาการของการจัดตั้ง FTA เหล่านี้ไม่มีสหรัฐรวมอยู่ด้วยเลย สหรัฐไม่มี FTA กับ อาเซียนทั้งกลุ่ม สหรัฐมี FTA ทวิภาคีกับสิงคโปร์ และออสเตรเลียเท่านั้น ดังนั้นหากสหรัฐไม่ดำเนินการอะไร อิทธิพลทางเศรษฐกิจของสหรัฐจะตกต่ำลงเรื่อยๆ มีการคาดการณ์กันว่า หากมีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชียตะวันออกในกรอบ ASEAN+3 จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐ ซึ่งในระยะแรกจะกระทบ 25,000 ล้านเหรียญต่อปี และหากมีการจัดตั้งประชาคมเอเชียตะวันออกในกรอบ ASEAN+3 จะทำให้เศรษฐกิจโลกแบ่งเป็น 3 ขั้ว โดยขั้วเอเชียตะวันออกจะมีพลังอำนาจทางเศรษฐกิจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าขั้วสหรัฐและขั้วยุโรป ดังนั้น การรวมกลุ่มของประเทศในเอเชียตะวันออกจึงท้าทายอำนาจและการครองความเป็นเจ้าในโลกของสหรัฐเป็นอย่างมาก และจะส่งผลกระทบในทางลบเป็นอย่างมากต่อผลประโยชน์ของสหรัฐในภูมิภาคดังนั้น เพื่อป้องกันผลกระทบในทางลบที่จะเกิดขึ้น สหรัฐจึงพยายามป้องกันไม่ให้เกิดการรวมกลุ่มของประเทศในเอเชียตะวันออก และผลักดันการรวมกลุ่มโดยมีสหรัฐเป็นแกน และผลักดัน FTA โดยมีสหรัฐเป็นแกน
อีกทั้งการผงาดขึ้นมาของจีน หรือ The Rise of China กำลังเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโลกในปัจจุบันและในอนาคต โดยจุดเด่นที่สุดของการผงาดขึ้นมาของจีน คือ ทางด้านเศรษฐกิจ โดยเศรษฐกิจของจีนได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบัน จีนได้ขยับขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ โดยที่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนสูงมาก คือ เกินกว่า 10% ทุกปี ดังนั้น หากจีนสามารถรักษาอัตรานี้ต่อไปได้ ภายในประมาณปี 2025 เศรษฐกิจของจีนน่าจะใหญ่เท่ากับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเมื่อจุดแข็งที่สุดของจีน คือ อำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีผลทำให้อำนาจทางทหารของจีนเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยจีนได้ทุ่มงบประมาณทางทหารเพิ่มมากขึ้นทุกปี และได้เสริมสร้างสมรรถนะภาพทางทหารในทุกๆด้าน  ถึงแม้ว่า เม็ดเงินงบทหารของจีนจะยังคงน้อยกว่าสหรัฐฯอยู่มาก  แต่แนวโน้ม คือ จีนได้เพิ่มงบทหารเกือบ 20% ทุกปี ซึ่งจะทำให้ในอนาคต งบประมาณทางทหารของจีนจะขยับเข้าใกล้สหรัฐฯมากขึ้นทุกที ผลที่เด่นชัด คือ การผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางทหารในเอเชียตะวันออกของจีน แม้จีนจะยังไม่สามารถแข่งกับสหรัฐในระดับโลกได้ แต่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก อีกไม่นาน จีนจะท้าทายอำนาจทางทหารของสหรัฐฯได้ซึ่งเป็นสิ่งมหาอำนาจโลกอันดับหนึ่งของโลกในขณะนี้อย่างสหรัฐอเมริกากำลังหวาดระแวงไม่น้อย
ดังนั้นการสนับสนุนความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและแรงคานให้แก่สหรัฐในภาคพื้นแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนที่กำลังรุดหน้าเจริญเติบโตทั้งทางรวดเร็ว นอกจากนี้เองประเทศสมาชิกยังจะได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับการร่วมมือทำความตกลงในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

Pi day (วันค่าพาย)

Pi Day(วันค่าพาย)

วันค่าพาย(Pi Day)หรือ วันค่าประมาณของพาย (Pi Approximation Day )เป็น 2 วันหยุดที่ถือว่าเป็นการฉลองค่าคงที่คณิตศาสตร์ หรือค่าพาย(ใน เดือน/วัน คือ 3/14) เพราะว่า 3 1 และ 4 เป็นสามค่าหลักแรกของค่าพาย อีกทั้งวันที่ 14 มีนาคมยังเป็นวันเกิดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) และสองเหตุการณ์นี้บางครั้งมักจะถูกฉลองร่วมกัน

วันค่าโดยประมาณของพายนั้นยังถูกจับตามองในวันที่ 22 กรกฎาคม เพราะว่าเป็นค่าโดยประมาณที่นิยมของพายคือ 22/7 (อ่านว่า ยี่สิบสองส่วนเจ็ด)ที่อาร์คิมิดิสคำนวนไว้ อย่างไรก็ตามบางทีค่านี้มักถูกเลือกจากความเข้าใจผิดเนื่องจากอ้างวันที่ให้เป็น”วันค่าโดยประมาณ”(เพราะว่าพายคือจำนวนอตรรกยะ) และค่า 22/7 ตามความเป็นจริงแล้วนั้นใกล้เคียงค่าพายโดยประมาณกว่า 3.14 โดยปกติ มีนาคม 14 เป็นที่นิยมในประเทศที่ใช้รูปแบบวันที่ “เดือน/วัน/ปี” และวันที่ 22 กรกฎาคม เป็นที่นิยมในประเทศที่ใช้รูปแบบวันที่ “วัน/เดือน/ปี”

บางครั้งค่านาทีพายจะถูกฉลอง สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม วันที่ 14 เวลา 1.59 น. ถ้าต้องการต่อยอดให้มีค่าทศนิยมเจ็ดตำแหน่ง มันจะมีค่าเท่ากับ 3.1415926 มาจากเลข เดือน 3 วันที่ 14 เวลา 1:59:26 น. คือค่าวินาทีพาย(หรือบางครั้งจะนับโดย เดือน 3 วันที่ 14 ปี 1592 เวลา 6:53:58 น. เท่ากับค่าพาย 3.14159265358…) มีหลากหลายวิธีมากในการเฉลิมฉลองวันค่าพายและวิธีที่ทำกันโดยมากคือการกินพาย(ขนมอบชนิดหนึ่งที่พ้องเสียงกับคำว่า พาย)และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องสัญลักษณ์พาย วันค่าพายถูกจัดครั้งแรกที่พิพิธภัณฑ์สำรวจซานฟรานซิสโกในปี 1988 โดยเจ้าหน้าที่และประชาชนเดินขบวณล้อมรอบเป็นวงกลมจากนั้นก็บริโภคพายผลไม้ ภายหลังทางพิพิธภัณฑ์ได้เพิ่มพิซซ่าเข้าเป็นเมนูในวันค่าพายด้วย ผู้ก่อตั้งวันค่าพายคือ แลรี่ ชอว์ ปัจจุบันเกษียณออกจากการเป็นนักฟิสิกส์ที่พิพิธภัณฑ์สำรวจและเป็นผู้ที่สนับสนุนการจัดงานฉลอง



ที่มา:http://en.wikipedia.org/wiki/Pi_Day



หลังจากที่นั่งแปลอย่างหยาบๆที่สุดเพราะความรู้ด้านหลักภาษาค่อนข้างแย่(และเชื่อได้เลยค่ะว่าต้องแปลผิดแน่ๆในบางประโยค) มากว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม ผลสำเร็จที่ได้ก็ออกมาอย่างที่ทุกท่านเห็นเนี่ยแหละค่ะ เนื้อหาเรานำมาจากเว็บ Wikipedia นะคะ (อันที่จริงมันมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกนิดหน่อยค่ะ แต่แปลไม่ไหวเพราะแปลเองก็นั่งงงเองว่าแปลถูกมั๊ย) อธิบายย่ออีกเล็กน้อยก็คือว่า ในวันค่าพายจะมีการเฉลิมฉลองการเกิดขึ้นของค่าพายน่ะค่ะ แต่เนื่องจากเป็นนักคณิตศาสตร์ก็คงต้องเเนวๆคณิตศาสตร์ไว้ก่อน จึงมีการเอาค่าพายซึ่งก็คือ 3.14 โดยประมาณมาตั้งเป็นวันเฉลิมฉลองค่าพายน่ะค่ะ

ในวันนี้จากประสบการณ์ที่รุ่นพี่ท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า ในวันค่าพาย(แล้วแต่ท้องที่ว่าจัดเมื่อไหร่) จะจัดงานเลี้ยงกันเล็กๆน้อยๆที่ภายในงานจะมีแค่พายหลากหลายชนิดเเละเครื่องดื่ม จากนั้นก็เป็นการพบปะสังสรรค์ระหว่างนักคณิตศาสตร์หรือนักฟิสิกส์มานั่งพูดคุยกันเรื่องพายกันน่ะค่ะ ซึ่งเราเองสนใจอย่างเดียวคือ กินพาย เราล่ะอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้มากๆเลยล่ะค่ะ นั่งฟังนักเรียนหัวกะทินั่งคุยกันค่อยๆเก็บเกี่ยวความรู้ไปเรื่อยๆพร้อมกับถือจานใส่พายอร่อยๆและกินไปด้วย โอ้! มันต้องน่าสนุกมากๆแน่เลยล่ะค่ะ เสียดายที่เมืองไทยไม่มีใครจัดให้เห็นเลย ถ้าจะจัดก็ใช้พิซซ่าแทนได้นะคะ มันเป็นวงกลมเหมือนกันค่ะ แต่อย่างไรก็ตามนะคะ มีเว็บมากมายที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกันค่ะ ลองสำรวจดูด้านล่างนะคะ เผื่อท่านไหนสนใจลองติดตามดูได้ค่ะ

แหล่งข้อมูลอื่นๆ


http://gotoknow.org/blog/sombhop/343950
http://www.tikanaht.com/doodle-pi-day/
http://en.wikipedia.org/wiki/Pi_Day
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A2
http://it.wikipedia.org/wiki/Giorno_di_pi_greco
http://fr.wikipedia.org/wiki/Journ%C3%A9e_de_pi
http://www.exploratorium.edu/pi
http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=97&post_id=81565&title=%C1%D2%C3%D9%E9%A8%D1%A1%C7%D1%B9%BE%D2%C2-%28Pi-Day%29-%A1%D1%B9%E0%B6%CD%D0-
http://pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8983004/X8983004.html
http://www.pidayinternational.org/a894046-just-in-time-for-pi-day.cfm



Did you know?
This year's Pi Day is also Albert Einstein's 131st birthday.
Happy Birthday, Al!
Toolyada

พลังความคิด(จบ)

พลังความคิด : การทำลาย

          พลังความคิดของการทำลายนั้น บางครั้งเองก็ออกมาโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจากจิตใจของมนุษย์เราทั้งนั้น แต่ถึงแม้จะตั้งใจหรือไม่อย่างไรก็ตามแต่ ความคิดนี้ เราเรียกกันว่าความคิดเชิงลบ พลังความคิดเชิงลบนั้นหรือการมองโลกในแง่ร้ายนั้น ถือว่าเป็นการทำลายทั้งต่อมนุษย์เราเองและสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเราด้วย หากถามว่าความคิดเชิงลบคืออะไร ความคิดเชิงลบคือความรู้สึกหรือความคิดที่ว่าสิ่งต่างๆรอบกายนั้นช่างเลวร้ายเหลือเกิน คิดว่าไม่ว่าสิ่งไหนก็ตามต่างก็ไร้ซึ่งประโยชน์และคุณค่าความหมายใดๆในตัวของมันเอง เพราะได้ถูกตัดสินจากผู้ที่มีวิธีการคิดเชิงลบ ตัดสินไว้แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีและไม่สามารถแก้ไขในทางที่ดีขึ้นได้แล้ว ความคิดเช่นนี้ถือว่าเป็นความคิดที่ไม่ดี เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์คนหนึ่งคนใดมีความคิดเช่นนี้แล้ว สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นคือส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและการใช้ชีวิตของเขาเอง มนุษย์เหล่านี้มักจะเต็มไปด้วยความหมองเศร้า โกรธแค้นอยู่เสมอๆ ในลำดับถัดมาคือ เกิดผลกระทบต่อการกระทำต่างๆที่สร้างความเสียหายให้แก่ประชากร สังคม ประเทศหรือโลก

         มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดและเติบโตมาในประเทศที่พ่ายแพ้จากสงครามโลกครั้งที่ 1 ศักดิ์ศรีของประเทศในความคิดของเด็กคนนี้นั้นถูกทำลายอย่างย่อยยับและน่าอับอาย เขาเกลียดชาวยิวที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในประเทศของเขาเป็นอย่างมาก เมื่อเขาโตขึ้น เขาจึงจัดตั้งกลุ่มทางการเมือง ตั้งตนเป็นหัวหน้า เดินหน้าหาเสียงอภิปรายไปยังที่ต่างๆจนสามารถรวบรวมคนที่มีแนวคิดคล้ายๆกันกับเขา กล่าวคือ เขาคิดว่าจะต้องนำพาประเทศชาติกลับไปรุ่งเรืองเป็นใหญ่อีกครั้ง ไม่ต้องตกเป็นประเทศที่พ่ายแพ้จากสงครามอีก ก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ และสิ่งที่เขาวาดฝันไว้จะต้องได้มาจากการต่อสู้เท่านั้น เขาปลุกใจประชาชนให้ฮึกเหิมและก่อสงครามขึ้น จากนั้นมาสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อุบัติขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เกิดเป็นสงครามที่โหดร้ายและรุนแรง ถือเป็นโศกนาฏกรรมบทหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกสงครามที่เริ่มขึ้นภายใต้การนำของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซี ในเยอรมันนี

         จากกรณีชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความคิดนั้นหากเราคิดไปในแง่ร้ายหรือคิดไปในทางที่ไม่ดีและสามารถกระทำได้แล้ว แม้เป็นเพียงความคิดของมนุษย์เพียงคนเดียวก็สามารถสร้างความน่าสะพรึงกลัวและความแตกแยกไปทั่วทั้งโลกได้ แต่ถึงแม้ว่าความคิดเชิงลบจะน่ากลัวแต่ก็สามารถทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆได้เช่นกัน



พลังความคิด : ภาคสรุป

              มนุษย์นั้นมีความรู้สึกนึกคิดมากมาย ความคิดที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ ความคิดที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ สิ่งประดิษฐ์และอารยธรรมต่างๆ และความคิดเห็นที่สามารถทำลายล้างคนได้ทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นความคิดในแบบใด มนุษย์ย่อมรู้จักที่จะหาวิธีผสมผสานความคิดทั้งหลายเหล่านี้มารวมกันเพื่อให้ประโยชน์แก่ตนเอง ในขณะเดียวกันแม้จะแตกต่าง แต่ความคิดย่อมมีความสัมพันธ์เสมอจนไม่อาจแยกออกได้อย่างสมบูรณ์ เพราะมนุษย์เรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัวไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติต่างๆหรือเรียนรู้จากการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเองเป็น จึงก่อให้เกิดการคิดเพื่อสร้างสรรค์ ประดิษฐ์สิ่งของและคิดค้นทฤษฏีต่างๆ รังสรรค์อารยธรรมมากมายเพื่อความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติ เมื่อสร้างแล้วมนุษย์เราย่อมจะเกิดความคิดที่จะทำลายเมื่อเห็นว่าสิ่งที่มีอยู่ไม่ดีพอหรือไม่มีประโยชน์แล้วโดยคิดหาวิธีกำจัดสิ่งไม่ดีๆเหล่านั้นไป เมื่อทำลายมนุษย์รุ่นต่อมาก็จะเกิดการเรียนรู้ถึงสิ่งที่ผิดพลาดมาในอดีต คิดค้นพัฒนาขึ้นใหม่ สร้างสรรค์ให้ดียิ่งๆขึ้นไป เรียนรู้ สร้างสรรค์ ทำลาย เกิดเป็นวัฎจักรทางความคิดเช่นนี้ไปเรื่อยๆซ้ำๆไม่มีที่สิ้นสุดตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงมีลมหายใจอยู่ และมนุษย์ก็ใช้พลังแห่งความคิดนี้หมุนโลกไปตามอย่างที่ใจมนุษย์ต้องการ





Toolyada

พลังความคิด(2)

พลังความคิด : การสร้าง

           ความคิดแห่งการสร้างนั้นถือว่าเป็นความคิดเชิงบวก ความคิดเชิงบวกคือการที่เรารู้สึกดีกับการพบเจอสิ่งใหม่ๆ มีเรียนรู้และทดลองทำในสิ่งที่ท้าทายโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดผลร้ายๆขึ้น โดยการสร้างนั้นไม่มีการจำแนกว่าดีหรือร้ายทั้งสิ้น

          พลังความคิดในการสร้างตัวตน คำว่า “ตัวตน” ในที่นี้ กล่าวถึงในแง่ความหมายของสิ่งต่างๆรอบตัวเราที่เป็นทั้งรูปธรรม เช่น คน สัตว์ โต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ และนามธรรม เช่น ความรัก ความดี ความชั่ว ศีลธรรม สิ่งต่างๆเหล่านี้มนุษย์ล้วนแต่ใช้ความคิดอันชาญฉลาดสร้างความหมายและสร้างการมีตัวตนของสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาทั้งนั้นและคิดค้นระบบภาษาขึ้นมาใช้เพื่อมีการสื่อสารและสืบทอดความคิดเหล่านี้ถ่ายทอดต่อไปยังลูกหลานที่สืบเผ่าพันธุ์ของตนเอง

          มนุษย์ใช้ความคิดเพื่อสร้างสรรค์ “สิ่ง”ใหม่เสมอ และมอบความหมายและตัวตนให้แก่ “สิ่ง” ทั้งหลายเหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของมนุษย์เอง เช่น มนุษย์สามารถสร้างบ้านที่แข็งแรงทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายต่างๆนานาได้ ทั้งๆที่สัตว์อื่นๆบางชนิดยังต้องอาศัยตามป่าเขาหรือในแม่น้ำลำคลอง มนุษย์ใช้ความคิดสร้างเสื้อผผ้าขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเองจากความร้อนหรือเย็น ในขณะที่สัตว์อื่นๆได้แต่เพียงอาศัยผิวหนังและขนที่ปกคลุมร่างกายของมันเองเพียงเท่านั้นที่จะใช้ปกป้องร่างกายของมันจากสภาพแวดล้อมนั้นๆ มนุษย์สามารถคิดค้นอาหารปรุงสุกรูปแบบต่างๆรวมทั้งยารักษาโรคและผลิตออกมามากมาย แต่สัตว์อื่นๆทั่วไปนั้นยังคงกินอาหารดิบๆและไม่สามารถคิดค้นผลิตยาเองได้เช่นมนุษย์เรา สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า มนุษย์นั้นใช้ความคิดเป็นพลังในการสร้างตัวตนของ “สิ่ง”ต่างๆนี้ได้ด้วยตนเอง

            นอกจากตัวตนในรูปแบบของรูปธรรมแล้ว มนุษย์เรายังใช้ความคิดสร้างสรรค์บุคลิกภาพของตัวมนุษย์แต่ละคนให้แตกต่างออกจากกันได้หลากหลายรูปแบบและมักจะถูกให้ความหมายออกมาในรูปของนามธรรม

            มีทฤษฎีมากมายที่กล่าวถึงการสร้างเสริมบุคลิกภาพที่ดี และก็มีหนังสืออีกเป็นร้อยเป็นพันเล่มเช่นกันที่กล่าวถึงวิธีการในการทำสร้างสรรค์และพัฒนาตนเองให้มีบุคลิกภาพที่ดี เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม เพื่อให้เป็นคนที่ดี เพื่อให้เป็นคนที่รักของคนอื่นๆ เพื่ออย่างเหตุผลเหล่านั้นและเพื่อเหตุผลเหล่านี้ มนุษย์มีความคิดมากมาย และความคิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์บุคลิกภาพของพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมาเองและมีแบบลักษณะเฉพาะตัวแตกแยกออกไปหลายๆลักษณะ ความคิดเชิงบวกของมนุษย์มักจะนำพามาซึ่งความสำเร็จและความสุข ในขณะที่ความคิดเชิงลบนั้นมักไม่ประสบผลสำเร็จและเกิดความล้มเหลว

             อีกทั้งพลังอำนาจของความคิดที่สามารถสร้างศิลปะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม ดนตรี หรือศิลปะวรรณศิลป์ในด้านต่างๆ แนวความคิดทางปรัชญา หรือกระทั่งศาสตร์เชิงประยุกต์ เช่น เทคโนโลยี เป็นต้น (ในที่นี้ต้องทำความเข้าใจว่า เทคโนโลยีแยกออกมาจากคำว่าวิทยาศาสตร์ เพราะเทคโนโลยีมิได้เกิดจากวิทยาสตร์เพียงเดียว แต่อาจมีหลักการคล้ายๆกัน เป็นต้นว่า การใช้ไฟของมนุษย์หินโบราณ สามารถถือว่าเป็นเทคโนโลยีได้เช่นกัน) “มนุษย์เป็นได้ทุกอย่างที่เขาอยากเป็น” คำพูดนี้เห็นจะเป็นสิ่งที่ไม่เกินความเป็นจริงนักเมื่อย้อนมองดูอดีตที่ผ่านๆมาของมนุษยชาติของเรา มนุษย์อยากบินได้ ทุกวันนี้พี่น้องตระกูลไรท์ก็สามารถทำให้เราบินได้แล้วในปัจจุบัน มนุษย์อยากมีชีวิตที่ยืนยาวยิ่งขึ้น ทุกวันนี้มนุษย์ก็ได้คิดค้นพัฒนาความรู้ ยาและเครื่องมือทางการแพทย์ให้สามารถรักษาโรคได้มากขึ้นทำให้เราอยู่ได้นานขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นพลังแห่งความคิดในทางที่สร้างสรรค์เป็นความคิดที่ดีเพราะสร้างความรุ่งเรืองให้กับมนุษยชาติ แต่ถึงแม้ความคิดจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีงามได้มากมาย ความคิดก็สามารถทำลายและมีแต่ความโหดร้ายทารุณได้เช่นกัน



 


Toolyada

พลังความคิด(1)

พลังความคิดของมนุษย์



“หากไม่มีความคิดแล้ว มนุษย์คงมีชีวิตเช่นเดียวกับสัตว์อื่นๆทั่วไป”


              มนุษย์ จัดเป็นสิ่งมีชีวิตในกลุ่มเลี้ยงลูกด้วยนม (Mammal) มีรูปร่างที่คล้ายคลึงกับลิงคน (Ape) มีการพัฒนาเรื่อยมานับตั้งแต่เริ่มแรกจากการเป็นมนุษย์โฮโม แฮบิลิส มนุษย์โฮโม อิเลคตัส พัฒนามาจนถึงรูปแบบปัจจุบันคือ มนุษย์โฮโม ซาเปียนส์ แต่ก่อนหน้านั้นมนุษย์ใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณมากกว่าจะใช้ความคิดตามหลักตรรกเหตุผล มีสภาพความเป็นอยู่ตามสิ่งแวดล้อมนั้นๆ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งมีชีวิตทุกชนิดย่อมมีการปรับตัวเพื่อดำรงชีวิตอยู่และสืบเผ่าพันธุ์ต่อให้สอดคล้องเกื้อกูลกัน ดังนั้นมนุษย์เองย่อมมีวิวัฒนาการเช่นเดียวกับสัตว์อื่น มนุษย์จึงวิวัฒนาการมาถึงการเป็นสัตว์โลกที่มีความสามารถเหนือสัตว์อื่นๆทุกชนิดด้วยสองมือ หัวสมองที่ใหญ่และกระดูกสันหลังที่ตั้งฉากกับพื้นโลก รวมกับการพัฒนาทางด้านความคิดที่ชาญฉลาด ทำให้มนุษย์มีบทบาทบนระบบนิเวศโลกที่แตกต่างไปจากสัตว์อื่นๆ มนุษย์สามารถจัดการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยการใช้ความคิดเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมนั้นๆให้เหมาะสมแก่การดำรงชีวิตอยู่และเพื่อความสะดวกสบายแก่ตนเอง มนุษย์อาศัยการวิวัฒนาการเหล่านี้สร้างสมประสบการณ์และค่อยๆพัฒนาทางความคิดเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มีการคิด มีความรู้สึก และสร้างสรรค์สิ่งที่ทั้งดีและร้ายได้ ยิ่งมนุษย์มีความพยายามรักษาชีวิตมากขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์ก็ยิ่งมีใช้ความคิดมากขึ้น คิดแล้วก็ทำ ทำแล้วก็คิดต่อไปอีกเรื่อยๆ ความคิดทำให้เกิดศาสตร์แขนงต่างๆ ศิลปะวิทยาการ เครื่องดนตรี ระบอบการเมืองการปกครอง สงคราม และการพัฒนา ความคิดของมนุษย์แต่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ต่างๆมากมาย จนอาจจะกล่าวได้ว่า ความคิดนั้นถือเป็นพลังที่ขับเคลื่อนวิถีชีวิตที่ไม่ใช่เพียงแค่ของมนุษย์เท่านั้นแต่รวมทั้งระบบนิเวศของโลกให้เปลี่ยนแปลงไปได้ทุกๆทาง

พลังความคิด : การเรียนรู้

           มนุษย์มีการเรียนรู้ และการเรียนรู้เป็นนี่เองที่ทำให้มนุษย์สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของธรรมชาติและร่างกายตัวเองได้ มนุษย์รู้จักที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆรอบตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในขณะเดียวกันมนุษย์ก็จดจำสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นและคิดค้นเป็นทฤษฎีมากมาย การเรียนรู้นั้นคือกระบวนการที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด มนุษย์สามารถเรียนได้จากการประสบพบเจอจากประสบการณ์ที่ผ่านๆมาและได้สัมผัสกับความจริงเหล่านี้ รู้และเข้าใจ จากนั้นจึงนำมาประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ถึงองค์ประกอบและความความแตกต่างของสิ่งที่รู้มาใหม่กับสิ่งที่เคยพบเจอมาก่อน และสังเคราะห์ความรู้ที่ได้จากการวิเคราะห์นั้นนำไปใช้ประโยชน์ สิ้นสุดกระบวนการประการสุดท้ายคือ การประเมินค่าว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้มานั้นมีความสำคัญมากน้อยเพียงไร และถูกผิดหรือไม่

ความหมายของการเรียนรู้ : ความหมายของคำว่า “การเรียนรู้” มีนักจิตวิทยาได้ให้ความหมายของการเรียนรู้ไว้หลายท่านในที่นี้จะสรุปพอเป็นแนวทางให้เข้าใจดังนี้คือ
การเรียนรู้ หมายถึง การที่มนุษย์ได้รับรู้ถึงสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเขา โดยเริ่มต้นตั้งแต่การมีปฏิสนธิอยู่ในครรภ์มารดาเรื่อยไป จนกระทั่งคลอดมาเป็นทารกแล้วอยู่รอด ซึ่งบุคคลก็ต้องปรับตัวเพื่อให้ตนเองอยู่รอดกับสิ่งแวดล้อมทั้งภายในครรภ์มารดาและเมื่อออกมาอยู่ภายนอกเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่รอดทั้งนี้ก็เพราะการเรียนรู้ทั้งสิ้น

การเรียนรู้ มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าการสั่งสอน หรือการบอกเล่าให้เข้าใจและจำได้เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของการทำตามแบบ ไม่ได้มีความหมายต่อการเรียนในวิชาต่างๆเท่านั้น แต่ความหมายคลุมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมอันเป็นผลจากการสังเกตพิจารณา ไตร่ตรอง แก้ปัญหาทั้งปวง และไม่สามารถชี้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปในทางที่สังคมยอมรับหรือไม่ การเรียนรู้เป็นการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้เป็นความเจริญงอกงาม เน้นว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เป็นการเรียนรู้ต้องมาจากประสบการณ์ หรือการฝึกหัด และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นควรจะต้องมีความคงทนถาวรเหมาะแก่เหตุเมื่อพฤติกรรมดั้งเดิมเปลี่ยนไปสู่พฤติกรรมที่มุ่งหวัง ก็แสดงว่าเกิดการเรียนรู้แล้ว

การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันมีผลมาจากการได้มีประสบการณ์

การเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการที่ทำให้เกิดกิจกรรม หรือ กระบวนการที่ทำให้กิจกรรมเปลี่ยนแปลงไปโดยเป็นผลตอบสนองจากสภาพการณ์หนึ่งซึ่งไม่ใช่ปฏิกิริยาธรรมชาติไม่ใช่วุฒิภาวะและไม่ใช่สภาพการเปลี่ยนแปลงของร่างกายชั่วครั้งชั่วคราวที่เนื่องมาจากความเหนื่อยล้าหรือฤทธิ์ยา

การเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการที่เนื่องมาจากประสบการณ์ตรงและประสบการณ์อ้อมกระทำให้อินทรีย์เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมค่อนข้างถาวร

การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงค่อนข้างถาวรในพฤติกรรม ซึ่งเป็นผลของการฝึกหัด

           จากความหมายของการเรียนรู้ข้างต้นอาจสรุปได้ว่า การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลจากการที่บุคคลทำกิจกรรมใดๆ ทำให้เกิดประสบการณ์และเกิดทักษะต่างๆ ขึ้นยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมค่อนข้างถาวร




Toolyada

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ไข้หวัด

ใครหลายๆคนคงจะเริ่มเป็นหวัดกันบ้างแล้วใช่มั๊ยคะ
เดือนหน้านี้ก็จะถึงเดือนมีนาคมแล้วล่ะค่ะ ทุกท่าน
อากาศจากที่หนาวๆกันอยู่ ก็เปลี่ยนมาร้อนซะงั้น
เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
ฉะนั้นมาอ่านวิธีดูแลสุขภาพเมื่อเป็นหวัดกันมั๊ยคะ?
เผื่อว่าใครๆที่กำลังเป็นหวัดอยู่อาจจะนำไปใช้และหายจากหวัดไวขึ้นก็ได้
ถ้าบทความนี้เป็นประโยชน์บ้าง เราจะยินดีมากเลยค่ะ

โรคไข้หวัด หรือ โรคเยื่อจมูกและลำคออักเสบเฉียบพลัน
(Acute nasopharyngitis / Common cold)

หวัดเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจ(ใครสนใจอยากรู้ว่ามีเชื้ออะไรบ้างขอแนะนำนะคะว่าไปเรียนหมอเถอะค่ะ มีตั้ง 200 กว่าชนิดแบบเบสิก และแบบแอดวานซ์ที่มีทั้งพวกธรรมดาๆและพวกกลายพันธุ์ แต่ถ้าสนใจจริงๆคอมเม้นท์บอกไว้นะคะจะไปเปิดตำรามาให้อ่านกันค่ะ )

อาการของโรคประกอบด้วยการจาม คัดจมูกน้ำมูกไหล, เยื่อจมูกที่จะบวมและแดง ถ้าเชื้อไวรัสติดเชื้อไปที่จมูกล่ะนะคะ แต่ถ้าติดเชื้อที่คอ จะมีอาการเจ็บคอ เสียงแหบ หรือมีเสมหะในลำคอ ผู้ป่วยเป็นไข้หวัดจะมีอาการไอ, ปวดศีรษะ และเหนื่อยง่าย ไข้หวัดมักจะมีระยะโรคอยู่ที่ประมาณสามถึงห้าวัน อาจร่วมด้วยอาการไอที่สามารถต่อเนื่องไปได้ถึงสามสัปดาห์ ส่วนใหญ่มักจะหายไปได้เอง แต่ยกเว้นกรณีไข้หวัด 2009 นะคะ เจ้านี้อาจจะหายไปพร้อมกับเจ้าของร่างกายที่มันอาศัยได้ค่ะก็คือเสียชีวิตน่ะค่ะ หากตัวร้อนสูงมาก ปวดเมื่อยตามร่างกาย และปวดศีรษะมาก ไปพบแพทย์ป้องกันไว้ก่อนจะเป็นวิธีการที่ดีกว่าค่ะ อย่าเสี่ยงซื้อยากินเองแล้วตายเสียก่อน ไม่ทันได้โบกมือลาครอบครัวเพราะต้องไปเฝ้าพระเจ้ากันก่อนนะคะ เราว่าเราเล่นมุกนี้คงไม่ฮา...ว่ามั๊ยคะ เพราะฉะนั้นเข้าเรื่องดีกว่าเนอะคะ แหะๆ

วิธีการดูแลตัวเองเมื่อเป็นหวัด

ข้อแรกที่เราโดนสอนมาตั้งแต่เด็กๆคือ “ห้ามสูดน้ำมูกและกลืนเสมหะ” ค่ะ

เพราะว่าในน้ำมูกและเสมหะแหล่านี้ เป็นแหล่งเชื้อโรคอ่อนแรงที่ถูกขับออกมาหลังจากที่ทีเซลล์ในร่างกายของเราได้กระตุ้นให้บีเซลล์สร้างแอนติบดีเข้าไปทำลายแอนติเจนในเชื้อไข้หวัดค่ะ ต้องเน้นว่าเชื้อโรคอ่อนแรงค่ะ เชื้อโรคยังไม่ได้ถูกทำลายโดยสมบูรณ์จึงต้องถูกขับออกมาในรูปของเหลวสีใสหรือสีเขียวเหลือง ทำให้จมูกหรือของเราจะเต็มไปด้วยของเหลวเพื่อขับเชื้อโรคเหล่านี้ หรือไม่ก็จะเกิดอาการจามขึ้นเมื่อเยื่อในโพรงจมูกถูกกระตุ้นน่ะค่ะ ทำให้ระคายเคืองจนต้องจามเอาเชื้อโรคพวกนี้ออกมา เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่าน้ำมูกและเสมหะเป็นแหล่งของเชื้อไวรัสหวัดล่ะก็นะคะ เอามันออกมาเถอะค่ะ ทั้งจาม เช็ดน้ำมูก ขับเสมหะจากลำคอ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคกลับคืนเข้าไปในร่างกายของคุณอีกครั้งค่ะ....

ข้อสอง “ดื่มน้ำอุ่นในปริมาณมากๆ”

หลายๆคนคงชอบน้ำเย็น(เราก็ชอบค่ะ แหม...วันไหนร้อนๆมาต้องน้ำเก๊กฮวยเย็นๆค่ะ สดชื่นนน!!~ >w<) แต่ถ้าหากว่า คุณเป็นหวัด ก็ตัดอกตัดใจจากน้ำเย็นๆพวกนั้นซะเถอะค่ะ และหันมาดื่มน้ำเปล่าอุ่นๆแทนเพื่อเป็นการละลายเสมหะที่เป็นก้อนเหนียวๆทำให้เราขับเสมหะเหล่านั้นออกมาง่ายขึ้น ไม่ต้องระคายคอมากค่ะ ในต่างประเทศก็มีผลการวิจัยออกมายืนยันนะคะ อย่างเช่นที่ ชดเชยน้ำที่ร่างกายต้องสูญเสีย รวมถึงทำให้ร่างกายเราไม่ต้องใช้พลังงานมากกว่าเดิมด้วยค่ะ เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการทำลายเชื้อโรค และถ้าเราดื่มน้ำเย็นที่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายเราแล้ว ร่างกายเราต้องมาปรับอุณหภูมิของน้ำให้อุ่นพอดีกับร่างกายอีกครั้ง ทำให้ร่างกายเหนื่อยมากขึ้นและหมดแรงจะไปสู้กับเชื้อโรคแล้วล่ะค่ะ (กระบวนการในร่างกายน่ะซับซ้อนจะตายค่ะแต่นั่นแหละค่ะถึงทำให้วิชาชีววิทยาน่าสนุกอยู่เสมอ) เพราะฉะนั้นก็ควรจะดื่มน้ำอุ่นมากๆนะคะ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำที่เพียงพอค่ะ

ข้อสาม “อาหารรสเผ็ด ขับน้ำมูกดีนักแล”

ทำไมน่ะเหรอคะ เพราะในอาหารรสเผ็ดส่วนใหญ่มักจะมีส่วนประกอบของพริก ซึ่งใช้เป็นพืชสมุนไพรในทางการแพทย์ ภายในผลพริกบริเวณส่วนที่เป็น รกพริก(ที่เราเรียกกันว่าไส้พริก) ซึ่งมีเมล็ดติดอยู่น่ะค่ะ จะมีสาร capsaicin ที่ก่อให้เกิดความเผ็ด ความเผ็ดร้อนนี้เองที่จะทำให้ร่างกายขับเหงื่อและขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญคือช่วยส่งเสริมระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้นค่ะ เคยๆสังเกตกันมั๊ยคะเวลากินของเผ็ด มักจะหน้าแดงและมีเหงื่อ ก็เพราะสารตัวนี้เลยค่ะ ดังนั้นวันไหนที่ไม่สบายควรจะทานอาหารเผ็ดๆซักวันละมื้อหรือ 2 มื้อ (ตามสะดวกค่ะ) เพื่อเป็นการขับเหงื่อออกมานะคะ

ข้อสี่ “พักผ่อนอย่างเพียงพอและทำร่างกายให้อบอุ่น”

ไม่ได้หมายถึงให้คุณที่ป่วยๆอยู่ไปตากแดดนะคะ (เดี๋ยวเป็นลมแล้วมาโทษเรา เราไม่รับผิดชอบนะคะ แหะๆ) ในข้อนี้เป็นข้อที่เราคิดว่าหลายๆคนคงทราบดีว่าเมื่อเราไม่สบายเราต้องห่มผ้าหนาๆ ใส่เสื้ออุ่นๆ อาบน้ำอุ่นๆและอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทค่ะ การพักผ่อนมากๆในช่วงนี้จะทำให้ร่างกายไม่ต้องรับภาระมากและตัวช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้นค่ะ การทำให้ร่างกายอบอุ่นจะทำให้สามารถบับเหงื่อได้มากขึ้นและหายใจสะดวกขึ้นด้วยค่ะ

ข้อห้า “ทานอาหารให้ครบห้าหมู่”

แหม...ถ้าคุณมีแม่จบโภชนศาสตร์มาคุณคงไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินเลยล่ะค่ะ แต่ถ้าคุณไม่สบายแถมยังไม่ได้อยู่กับคุณแม่แต่คุณอยู่คนเดียวล่ะก็เราขอแนะนำให้คุณทานอาหารให้ครอบจักรวาลทั้ง 5 หมู่ค่ะ ก็จะมีไขมัน เกลือแร่ วิตามิน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต เพราะมันจำเป็นอย่างมากต่อร่างกายที่กำลังอยู่ในช่วงภาวะอ่อนแอนะคะ ร่างกายของคุณ สุขภาพก็ของคุณต้องดูแลกันหน่อยนะคะ สู้ๆ

ข้อสุดท้าย “ไปพบแพทย์”

ลองทำมาทั้ง 5 ข้อแล้วยังไม่หาย แถมยังมีไข้สูง ท้องเสีย เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศีรษะ หนาวสั่น และ ไม่มีเรี่ยวแรง อ่อนล้า ร่วมด้วย ในบางคนมีอาการท้องเสียร่วมกับอาเจียน ลองมาซะขนาดนี้ก็อย่านอนนิ่งๆนะคะ บางทีบางโรคร่างกายเราก็ไม่สามารถสร้างแอนติบอดีมาทำลายได้ทุกโรคหรอกค่ะ ดีไม่ดีเป็นไข้หวัด 2009 หรือไม่ก็เป็นไข้เลือดออกโดยไม่รู้ตัวเนี่ยอาจจะเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตได้เลยนะคะ เราขอแสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่งเลย (เพราะเคยเกือบตายมาแล้วค่ะ) การไปพบแพทย์อาจจะช่วยให้สามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยิ่งขึ้นและจะได้รับการรักษาที่ถูกต้องค่ะ คุณหมออาจจะให้ยาปฏิชีวนะมาเพื่อฆ่าเชื้อไวรัส (ไอ่ยาเม็ดแก้อักเสบเพื่อนซี้นั่นเลยค่ะ) ต้องทานให้ครบที่คุณหมอสั่งมานะคะเพื่อที่ว่าเชื้อโรคจะได้ไม่ดื้อยาและเกิดการกลายพันธุ์ ขึ้นค่ะ(ถ้าหาเอกสารเรื่องเหล่านี้เจอเราจะนำมาทำเป็นบทความต่อไปนะคะ)

ยังมีอีกหลายๆวิธีค่ะ แต่คัดมาเฉพาะที่เด่นๆที่สามารถทำได้ด้วยตัวของเราเองโดยไม่ต้องพึ่งยาปฏิชีวนะมากนักน่ะค่ะ เพราะยาบางตัวกินมากๆก็มีผลต่อตับและไต อีกทั้งระคายเคืองกระเพาะอาหารอีก(ซึ่งมีแน่นอนค่ะ ในยาประเภทสเตียรอยด์) ดังนั้นเราก็ควรดูแลร่างกายของเราด้วยตัวของเราเองก่อนนะคะ ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยพึ่งยาและหมอค่ะ จะทำให้คุณสามารถลดปริมาณค่าใช้จ่ายที่ไม่ค่อยจะจำเป็นไปได้มากเลยค่ะ

ฝากไว้นิดนึงค่ะ เพราะได้เรียนกับอาจารย์เรืองศักดิ์ที่สุดปลื้ม
อาจารย์ท่านบอกว่า "เราควรเรียนรู้ป้องกันมากกว่ารักษา"
เพราะฉะนั้นหมั่นดูแลร่างกายให้ฟิตปั๋ง แข็งแรงกันทุกท่านนะคะ



ใครๆที่กำลังเป็นหวัดอยู่ หายไวๆนะคะ
เราเป็นห่วงสุขภาพของคุณค่ะ


ด้วยความปราถนาดีจาก

Toolyada (เจ้าของเดียวกันกับ . . .)


ปล. เราทราบดีค่ะว่ามุขเรามัน...เอ่อ..ไม่ฮาอ่านะคะ
       แต่ถ้าฮาได้ก็ฮาหน่อยเถอะ แบบว่า .....เฮ้อ
      พยายามสุดฤทธิ์สุดเดชเเล้วค่ะ แหะๆ

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รัชกาลที่ 4 และดาราศาสตร์ไทย

รัชการที่ 4 พระบิดาดาราศาสตร์ไทย

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ในรัชกาลที่ 1 ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด จุลศักราช 1166 เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 (ขณะนั้นดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงอิศรสุนทร) และเป็นโอรสพระองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี

รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสมัยแรกของการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเพื่อ ความทันสมัย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมเพื่อให้เห็นว่าไทยเป็นประเทศที่ มีอารยธรรมและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักว่า ประเทศไทยต้องยกเลิกการแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวอย่างที่เคยทำมา ต้องยอมทำการค้ากับต่างประเทศและรับความคิดเห็นใหม่แบบตะวันตก การแก้ไขปรับปรุงการปกครองบ้านเมือง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภายนอกประเทศเป็นเรื่องจำเป็น รวมทั้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงประเพณีล้าสมัย ทรงใช้พระบรมราโชบายเป็นสายกลางผสมผสานระหว่าง ตะวันตกและตะวันออก

ทรงใช้เวลาศึกษาภาษาละตินและภาษาอังกฤษ รวมทั้งศาสตร์แขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ การเมือง วรรณคดี ปรัชญา ไปจนถึง เรขาคณิต ตรีโกณมิติ วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะดาราศาสตร์ที่ทรงสนพระทัยเป็นพิเศษ หลักฐานอย่างหนึ่งที่ทรงนำความรู้เรื่องดาราศาสตร์มาใช้กับการกำหนดวันสำคัญทางศาสนาซึ่งมีขึ้นตามปฏิทินจันทรคติ คือ พระราชาธิบายเรื่องอธิกมาส อธิกวาร และปักขคณนาวิธี ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการคำนวณปฏิทินจันทรคติแบบใหม่ที่ทรงประดิษฐ์คิดค้นขึ้นด้วยพระองค์เอง มีความแม่นยำถูกต้องตรงกับดวงจันทร์บนท้องฟ้ายิ่งกว่าปฏิทินที่ใช้อยู่เดิม

ความสนพระทัยในดาราศาสตร์มองเห็นได้จากการสั่งซื้อตำราดาราศาสตร์ กล้องโทรทรรศน์ และแผนที่ดาว จากต่างประเทศ เครื่องราชบรรณาการส่วนมากเป็นหนังสือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องชั่ง ลูกโลก เทอร์มอมิเตอร์ เครื่องวัดความดันอากาศ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ได้ถวายกล้องโทรทรรศน์ ซึ่ง เซอร์ จอห์น เบาริง ราชทูตแห่งสหราชอาณาจักร ได้บันทึกว่า "กล้องที่นำมาถวายมีคุณภาพต่ำกว่ากล้องโทรทรรศน์ที่ทรงมีอยู่แล้ว"

เซอร์ จอห์น เบาริง ยังเขียนเล่าไว้ว่า ห้องส่วนพระองค์เป็นห้องที่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกับห้องนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่มั่งคั่งในทวีปยุโรปสมัยนั้น หมอเหา (เฮาส์) ได้บันทึกรายละเอียดไว้จากที่เขาได้เข้าเฝ้าที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อครั้งยังทรงผนวชอยู่ว่า "ข้าพเจ้าได้เหลียวมองไปรอบๆ ห้อง และเห็นพระคัมภีร์ไบเบิลของสมาคม เอ. บี. และพจนานุกรมเวบสเตอร์ตั้งเคียงบนชั้นบนโต๊ะเขียนหนังสือ นอกจากนั้นยังมีตารางดาราศาสตร์และการเดินเรือวางอยู่ด้วย ส่วนข้างบนอีกโต๊ะหนึ่งมีแผนผังอุปราคาที่จะเกิดขึ้นครั้งต่อไป มีรายการคำนวณเขียนไว้ด้วยดินสอ นอกจากนั้นยังมีแบบลอกแผนที่ของนายชานเดลอร์วางอยู่ด้วย"

พระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ การสถาปนาเวลามาตรฐานของประเทศ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีการกำหนดให้เส้นลองจิจูดที่ผ่านหอดูดาวกรีนิชในอังกฤษเป็นเส้นเมริเดียนหลักของโลก แต่กลับมีหลักฐานว่าพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงใช้การสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์สำหรับกำหนดเวลามาตรฐานของประเทศไทย โปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนย ซึ่งเป็นพระที่นั่งทรงยุโรปสูง 5 ชั้น บนยอดเป็นหอนาฬิกามีนาฬิกาขนาดใหญ่ทั้งสี่ด้าน แต่งตั้งพนักงานที่คอยวัดตำแหน่งดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และดวงจันทร์ในเวลากลางคืน เพื่อปรับนาฬิกาให้เที่ยงตรงอยู่เสมอ

เหตุการณ์ที่เป็นที่กล่าวขวัญและเป็นที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ คือ ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 หลักฐานจากประกาศหลายฉบับแสดงว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงศึกษาการคำนวณเพื่อพยากรณ์ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสุริยุปราคา จันทรุปราคา ดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์บังดาวเคราะห์ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลามาก ไม่ได้คำนวณได้รวดเร็วอย่างในปัจจุบัน

ทรงประกาศผลการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้ล่วงหน้า 2 ปี และเชิญคณะสำรวจทั้งจากฝรั่งเศส อังกฤษ และสิงคโปร์ ร่วมทั้งข้าราชบริพารมากมาย เข้ามาร่วมสังเกตการณ์โดยทรงมีรับสั่งให้สร้างพลับพลาที่ประทับ ณ หว้ากอ ต.คลองวาฬ อ.เมืองฯ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และทรงประทับรทอดพระเนตร ดวงอาทิตย์ที่ถูกดวงจันทร์บังมิดดวงอยู่นานถึง 6 นาที 46 วินาที นับว่าเป็นพระปรีชาชาญของพระองค์ที่สามารถ ทำนายการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างแม่นยำ

ตามบันทึกนั้น ได้บันทึกไว้ว่า ในวันที่พระองคทรงคำนวนไว้ว่าจะเกิดสุริยุปราคานั้น มีแต่ฝนตกและท้องฟ้ามืดมัวจนเเทบจะมองไม่เห็นพระอาทิตย์ แต่ก็ได้บังเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น กล่าวคือ เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ทรงคำนวนไว้ท้องฟ้าก็สว่างเห็นพระอาทิตย์ชัดเจนและผู้ที่ติดตามไปทั้งหมดรวมทั้งชาวบ้านในบริเวณนั้นก็ได้เห็นสุริยุปราคากันโดยทั่ว เมื่อได้เห็นสุริยุปราคาแล้ว พระองค์เจ้าอยู่หัวทรงปิติยินดีเป็นล้นพ้น ชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศสที่ได้ติดตามไปนั้นต่างก็พากันแซ่ซ้องสรรเสริญว่า พระองค์นั้นเป็นนักดาราศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง และทางฝ่ายไทยเองนั้นจึงได้ตระหนักว่า ดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ของไทยในเวลานั้นได้พ้นสมัยไปเสียเเล้ว จึงจำเป็ฯจะต้องมีการพัฒนาเรียนรู้กันอย่างมาก และคืนนั้นเองพระองค์ได้พระราชทานเลี้ยงอย่างใหญ่โตมโหฬาร

เป็นที่น่าเสียดายว่า การเสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้นั้นทำให้พระองค์ทรงประชวรเนื่องจากได้รับเชื้อไข้มาลาเรีย และเสด็จสวรรคตในวันที่ 1 ตุลาคม สร้างความเศร้าโศกแก่อาณาประชาราษฐ์เป็นอย่างมาก

หากไม่มีพระองค์ท่านเป็นนักดาราศาสตร์แล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าวงการดาราศาสตร์ไทยของเราจะเริ่มต้นช้าไปกว่านี้เท่าไหร่ค่ะ



อ้างอิง :-


1. ลำจุล ฮวบเจริญ, เกร็ดพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์, กรุงเทพฯ: the knowledge center, 2550
2.http://thaiastro.nectec.or.th/library/kingmongkut_bicentennial/kingmongkut_bicentennial.html
3.http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7
4. http://www.mahamakuta.inet.co.th/buddhism/rama/rama4.html
5. http://www.skoolbuz.com/_module/library/detail.php?con_id=1379

 ที่มาของบทความ

หลังจากเมื่อปีที่ผ่านมาเป็นปีแห่งดาราศาสตร์สากล ซึ่งประเทศไทยเราเองนั้นก็ได้มีการจัดกิจกรรมกันตลอดทั้งปีค่ะ โดยเราเองนั้นมีโอกาสได้ไปร่วมงานนิทรรศการกล้องโทรทรรศน์ที่เซ็นทรัล แอร์พอร์ต เชียงใหม่มาเมื่อประมาณปลายที่ 2553 (ด้วยความบังเอิญค่ะ) จึงคิดว่า...ในเมื่อมีกาลิเลโอเป็นตัวพ่อของวงการดาราศาสตร์สากล แล้วมีใครบ้างที่มีความสามารถด้านดาราศาสตร์อย่างมากจนน่ายกย่องเกียวกับวิชาการทางด้านดาราศาสตร์บ้าง...คิดถึงความรู้สมัยมัธยมก็นึกขึ้นได้ว่า บุคคลผู้นั้น คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ รัชกาลที่ 4 นี่อย่างไรเล่าที่เปรียบดั่งพระราชบิดาแห่งดาราศาสตร์ของประเทศไทย จึงรวบรวมข้อมูลมาจัดทำบทความนี่ขึ้นมาค่ะ


อาทิตย์ที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสเรียนวิชา TU 130 กับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เรืองศักดิ์ ทรงสถาพร ซึ่งท่านเป็นอาจารย์ที่มีความรู้รอบเจนจัดในด้านวิทยาศาสตร์อย่างมากค่ะ เรามีโอกาสได้พูดคุยกับท่านบ้าง 2- 3 ครั้ง เพราะประทับใจในบุคลิกและการสอนของท่านที่อธิบายเรื่องวิทยาศาสตร์ให้เข้าใจได้ง่ายและสนุกแก่นักศึกษา


มีอยู่หนหนึ่งเรามีโอกาสได้พูดกับอาจารย์และคุยกันเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เราสนใจเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว หลังจากการสนทนาครั้งนั้นเราก็ชื่นชมท่านมากค่ะ นอกจากท่านจะเป็นผู้ใหญ่ใจดีแล้วท่านยังมองปัญหาต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นและยังกรุณาขยายความเข้าใจ เปิดโลกทัศน์ทางความคิดของเราให้กว้างไกลมากขึ้นค่ะ อาจารย์เรืองศักดิ์ท่านจบจบจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในระดับปริญญาตรี และจบปริญญาโทและเอก จากอังกฤษและอเมริกา เกี่ยวกับฟิสิกส์ดาราศาสตร์ค่ะ


ซึ่งพอดีกับที่ว่าเรากำลังเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 ในวิชา TU 111 พอดิบพอดี ทำให้ต้องทำงานหาข้อมูลเกี่ยวกับพระราชประวัติของรัชกาลที่ 4 แล้วอ่านพบว่าพระองค์ท่านนั้น มีพระราชกรณียกิจทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างเด่นชัดปรากฏอยู่ นั้นก็คือ พระปรีชาชาญในด้านดาราศาสตร์นั้นเองค่ะ เราจึงค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อจัดทำบทความเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ