วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ไข้หวัด

ใครหลายๆคนคงจะเริ่มเป็นหวัดกันบ้างแล้วใช่มั๊ยคะ
เดือนหน้านี้ก็จะถึงเดือนมีนาคมแล้วล่ะค่ะ ทุกท่าน
อากาศจากที่หนาวๆกันอยู่ ก็เปลี่ยนมาร้อนซะงั้น
เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
ฉะนั้นมาอ่านวิธีดูแลสุขภาพเมื่อเป็นหวัดกันมั๊ยคะ?
เผื่อว่าใครๆที่กำลังเป็นหวัดอยู่อาจจะนำไปใช้และหายจากหวัดไวขึ้นก็ได้
ถ้าบทความนี้เป็นประโยชน์บ้าง เราจะยินดีมากเลยค่ะ

โรคไข้หวัด หรือ โรคเยื่อจมูกและลำคออักเสบเฉียบพลัน
(Acute nasopharyngitis / Common cold)

หวัดเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจ(ใครสนใจอยากรู้ว่ามีเชื้ออะไรบ้างขอแนะนำนะคะว่าไปเรียนหมอเถอะค่ะ มีตั้ง 200 กว่าชนิดแบบเบสิก และแบบแอดวานซ์ที่มีทั้งพวกธรรมดาๆและพวกกลายพันธุ์ แต่ถ้าสนใจจริงๆคอมเม้นท์บอกไว้นะคะจะไปเปิดตำรามาให้อ่านกันค่ะ )

อาการของโรคประกอบด้วยการจาม คัดจมูกน้ำมูกไหล, เยื่อจมูกที่จะบวมและแดง ถ้าเชื้อไวรัสติดเชื้อไปที่จมูกล่ะนะคะ แต่ถ้าติดเชื้อที่คอ จะมีอาการเจ็บคอ เสียงแหบ หรือมีเสมหะในลำคอ ผู้ป่วยเป็นไข้หวัดจะมีอาการไอ, ปวดศีรษะ และเหนื่อยง่าย ไข้หวัดมักจะมีระยะโรคอยู่ที่ประมาณสามถึงห้าวัน อาจร่วมด้วยอาการไอที่สามารถต่อเนื่องไปได้ถึงสามสัปดาห์ ส่วนใหญ่มักจะหายไปได้เอง แต่ยกเว้นกรณีไข้หวัด 2009 นะคะ เจ้านี้อาจจะหายไปพร้อมกับเจ้าของร่างกายที่มันอาศัยได้ค่ะก็คือเสียชีวิตน่ะค่ะ หากตัวร้อนสูงมาก ปวดเมื่อยตามร่างกาย และปวดศีรษะมาก ไปพบแพทย์ป้องกันไว้ก่อนจะเป็นวิธีการที่ดีกว่าค่ะ อย่าเสี่ยงซื้อยากินเองแล้วตายเสียก่อน ไม่ทันได้โบกมือลาครอบครัวเพราะต้องไปเฝ้าพระเจ้ากันก่อนนะคะ เราว่าเราเล่นมุกนี้คงไม่ฮา...ว่ามั๊ยคะ เพราะฉะนั้นเข้าเรื่องดีกว่าเนอะคะ แหะๆ

วิธีการดูแลตัวเองเมื่อเป็นหวัด

ข้อแรกที่เราโดนสอนมาตั้งแต่เด็กๆคือ “ห้ามสูดน้ำมูกและกลืนเสมหะ” ค่ะ

เพราะว่าในน้ำมูกและเสมหะแหล่านี้ เป็นแหล่งเชื้อโรคอ่อนแรงที่ถูกขับออกมาหลังจากที่ทีเซลล์ในร่างกายของเราได้กระตุ้นให้บีเซลล์สร้างแอนติบดีเข้าไปทำลายแอนติเจนในเชื้อไข้หวัดค่ะ ต้องเน้นว่าเชื้อโรคอ่อนแรงค่ะ เชื้อโรคยังไม่ได้ถูกทำลายโดยสมบูรณ์จึงต้องถูกขับออกมาในรูปของเหลวสีใสหรือสีเขียวเหลือง ทำให้จมูกหรือของเราจะเต็มไปด้วยของเหลวเพื่อขับเชื้อโรคเหล่านี้ หรือไม่ก็จะเกิดอาการจามขึ้นเมื่อเยื่อในโพรงจมูกถูกกระตุ้นน่ะค่ะ ทำให้ระคายเคืองจนต้องจามเอาเชื้อโรคพวกนี้ออกมา เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่าน้ำมูกและเสมหะเป็นแหล่งของเชื้อไวรัสหวัดล่ะก็นะคะ เอามันออกมาเถอะค่ะ ทั้งจาม เช็ดน้ำมูก ขับเสมหะจากลำคอ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคกลับคืนเข้าไปในร่างกายของคุณอีกครั้งค่ะ....

ข้อสอง “ดื่มน้ำอุ่นในปริมาณมากๆ”

หลายๆคนคงชอบน้ำเย็น(เราก็ชอบค่ะ แหม...วันไหนร้อนๆมาต้องน้ำเก๊กฮวยเย็นๆค่ะ สดชื่นนน!!~ >w<) แต่ถ้าหากว่า คุณเป็นหวัด ก็ตัดอกตัดใจจากน้ำเย็นๆพวกนั้นซะเถอะค่ะ และหันมาดื่มน้ำเปล่าอุ่นๆแทนเพื่อเป็นการละลายเสมหะที่เป็นก้อนเหนียวๆทำให้เราขับเสมหะเหล่านั้นออกมาง่ายขึ้น ไม่ต้องระคายคอมากค่ะ ในต่างประเทศก็มีผลการวิจัยออกมายืนยันนะคะ อย่างเช่นที่ ชดเชยน้ำที่ร่างกายต้องสูญเสีย รวมถึงทำให้ร่างกายเราไม่ต้องใช้พลังงานมากกว่าเดิมด้วยค่ะ เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการทำลายเชื้อโรค และถ้าเราดื่มน้ำเย็นที่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายเราแล้ว ร่างกายเราต้องมาปรับอุณหภูมิของน้ำให้อุ่นพอดีกับร่างกายอีกครั้ง ทำให้ร่างกายเหนื่อยมากขึ้นและหมดแรงจะไปสู้กับเชื้อโรคแล้วล่ะค่ะ (กระบวนการในร่างกายน่ะซับซ้อนจะตายค่ะแต่นั่นแหละค่ะถึงทำให้วิชาชีววิทยาน่าสนุกอยู่เสมอ) เพราะฉะนั้นก็ควรจะดื่มน้ำอุ่นมากๆนะคะ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำที่เพียงพอค่ะ

ข้อสาม “อาหารรสเผ็ด ขับน้ำมูกดีนักแล”

ทำไมน่ะเหรอคะ เพราะในอาหารรสเผ็ดส่วนใหญ่มักจะมีส่วนประกอบของพริก ซึ่งใช้เป็นพืชสมุนไพรในทางการแพทย์ ภายในผลพริกบริเวณส่วนที่เป็น รกพริก(ที่เราเรียกกันว่าไส้พริก) ซึ่งมีเมล็ดติดอยู่น่ะค่ะ จะมีสาร capsaicin ที่ก่อให้เกิดความเผ็ด ความเผ็ดร้อนนี้เองที่จะทำให้ร่างกายขับเหงื่อและขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญคือช่วยส่งเสริมระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้นค่ะ เคยๆสังเกตกันมั๊ยคะเวลากินของเผ็ด มักจะหน้าแดงและมีเหงื่อ ก็เพราะสารตัวนี้เลยค่ะ ดังนั้นวันไหนที่ไม่สบายควรจะทานอาหารเผ็ดๆซักวันละมื้อหรือ 2 มื้อ (ตามสะดวกค่ะ) เพื่อเป็นการขับเหงื่อออกมานะคะ

ข้อสี่ “พักผ่อนอย่างเพียงพอและทำร่างกายให้อบอุ่น”

ไม่ได้หมายถึงให้คุณที่ป่วยๆอยู่ไปตากแดดนะคะ (เดี๋ยวเป็นลมแล้วมาโทษเรา เราไม่รับผิดชอบนะคะ แหะๆ) ในข้อนี้เป็นข้อที่เราคิดว่าหลายๆคนคงทราบดีว่าเมื่อเราไม่สบายเราต้องห่มผ้าหนาๆ ใส่เสื้ออุ่นๆ อาบน้ำอุ่นๆและอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทค่ะ การพักผ่อนมากๆในช่วงนี้จะทำให้ร่างกายไม่ต้องรับภาระมากและตัวช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้นค่ะ การทำให้ร่างกายอบอุ่นจะทำให้สามารถบับเหงื่อได้มากขึ้นและหายใจสะดวกขึ้นด้วยค่ะ

ข้อห้า “ทานอาหารให้ครบห้าหมู่”

แหม...ถ้าคุณมีแม่จบโภชนศาสตร์มาคุณคงไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินเลยล่ะค่ะ แต่ถ้าคุณไม่สบายแถมยังไม่ได้อยู่กับคุณแม่แต่คุณอยู่คนเดียวล่ะก็เราขอแนะนำให้คุณทานอาหารให้ครอบจักรวาลทั้ง 5 หมู่ค่ะ ก็จะมีไขมัน เกลือแร่ วิตามิน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต เพราะมันจำเป็นอย่างมากต่อร่างกายที่กำลังอยู่ในช่วงภาวะอ่อนแอนะคะ ร่างกายของคุณ สุขภาพก็ของคุณต้องดูแลกันหน่อยนะคะ สู้ๆ

ข้อสุดท้าย “ไปพบแพทย์”

ลองทำมาทั้ง 5 ข้อแล้วยังไม่หาย แถมยังมีไข้สูง ท้องเสีย เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศีรษะ หนาวสั่น และ ไม่มีเรี่ยวแรง อ่อนล้า ร่วมด้วย ในบางคนมีอาการท้องเสียร่วมกับอาเจียน ลองมาซะขนาดนี้ก็อย่านอนนิ่งๆนะคะ บางทีบางโรคร่างกายเราก็ไม่สามารถสร้างแอนติบอดีมาทำลายได้ทุกโรคหรอกค่ะ ดีไม่ดีเป็นไข้หวัด 2009 หรือไม่ก็เป็นไข้เลือดออกโดยไม่รู้ตัวเนี่ยอาจจะเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตได้เลยนะคะ เราขอแสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่งเลย (เพราะเคยเกือบตายมาแล้วค่ะ) การไปพบแพทย์อาจจะช่วยให้สามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยิ่งขึ้นและจะได้รับการรักษาที่ถูกต้องค่ะ คุณหมออาจจะให้ยาปฏิชีวนะมาเพื่อฆ่าเชื้อไวรัส (ไอ่ยาเม็ดแก้อักเสบเพื่อนซี้นั่นเลยค่ะ) ต้องทานให้ครบที่คุณหมอสั่งมานะคะเพื่อที่ว่าเชื้อโรคจะได้ไม่ดื้อยาและเกิดการกลายพันธุ์ ขึ้นค่ะ(ถ้าหาเอกสารเรื่องเหล่านี้เจอเราจะนำมาทำเป็นบทความต่อไปนะคะ)

ยังมีอีกหลายๆวิธีค่ะ แต่คัดมาเฉพาะที่เด่นๆที่สามารถทำได้ด้วยตัวของเราเองโดยไม่ต้องพึ่งยาปฏิชีวนะมากนักน่ะค่ะ เพราะยาบางตัวกินมากๆก็มีผลต่อตับและไต อีกทั้งระคายเคืองกระเพาะอาหารอีก(ซึ่งมีแน่นอนค่ะ ในยาประเภทสเตียรอยด์) ดังนั้นเราก็ควรดูแลร่างกายของเราด้วยตัวของเราเองก่อนนะคะ ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยพึ่งยาและหมอค่ะ จะทำให้คุณสามารถลดปริมาณค่าใช้จ่ายที่ไม่ค่อยจะจำเป็นไปได้มากเลยค่ะ

ฝากไว้นิดนึงค่ะ เพราะได้เรียนกับอาจารย์เรืองศักดิ์ที่สุดปลื้ม
อาจารย์ท่านบอกว่า "เราควรเรียนรู้ป้องกันมากกว่ารักษา"
เพราะฉะนั้นหมั่นดูแลร่างกายให้ฟิตปั๋ง แข็งแรงกันทุกท่านนะคะ



ใครๆที่กำลังเป็นหวัดอยู่ หายไวๆนะคะ
เราเป็นห่วงสุขภาพของคุณค่ะ


ด้วยความปราถนาดีจาก

Toolyada (เจ้าของเดียวกันกับ . . .)


ปล. เราทราบดีค่ะว่ามุขเรามัน...เอ่อ..ไม่ฮาอ่านะคะ
       แต่ถ้าฮาได้ก็ฮาหน่อยเถอะ แบบว่า .....เฮ้อ
      พยายามสุดฤทธิ์สุดเดชเเล้วค่ะ แหะๆ

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รัชกาลที่ 4 และดาราศาสตร์ไทย

รัชการที่ 4 พระบิดาดาราศาสตร์ไทย

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ในรัชกาลที่ 1 ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด จุลศักราช 1166 เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 (ขณะนั้นดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงอิศรสุนทร) และเป็นโอรสพระองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี

รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสมัยแรกของการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเพื่อ ความทันสมัย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมเพื่อให้เห็นว่าไทยเป็นประเทศที่ มีอารยธรรมและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักว่า ประเทศไทยต้องยกเลิกการแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวอย่างที่เคยทำมา ต้องยอมทำการค้ากับต่างประเทศและรับความคิดเห็นใหม่แบบตะวันตก การแก้ไขปรับปรุงการปกครองบ้านเมือง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภายนอกประเทศเป็นเรื่องจำเป็น รวมทั้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงประเพณีล้าสมัย ทรงใช้พระบรมราโชบายเป็นสายกลางผสมผสานระหว่าง ตะวันตกและตะวันออก

ทรงใช้เวลาศึกษาภาษาละตินและภาษาอังกฤษ รวมทั้งศาสตร์แขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ การเมือง วรรณคดี ปรัชญา ไปจนถึง เรขาคณิต ตรีโกณมิติ วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะดาราศาสตร์ที่ทรงสนพระทัยเป็นพิเศษ หลักฐานอย่างหนึ่งที่ทรงนำความรู้เรื่องดาราศาสตร์มาใช้กับการกำหนดวันสำคัญทางศาสนาซึ่งมีขึ้นตามปฏิทินจันทรคติ คือ พระราชาธิบายเรื่องอธิกมาส อธิกวาร และปักขคณนาวิธี ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการคำนวณปฏิทินจันทรคติแบบใหม่ที่ทรงประดิษฐ์คิดค้นขึ้นด้วยพระองค์เอง มีความแม่นยำถูกต้องตรงกับดวงจันทร์บนท้องฟ้ายิ่งกว่าปฏิทินที่ใช้อยู่เดิม

ความสนพระทัยในดาราศาสตร์มองเห็นได้จากการสั่งซื้อตำราดาราศาสตร์ กล้องโทรทรรศน์ และแผนที่ดาว จากต่างประเทศ เครื่องราชบรรณาการส่วนมากเป็นหนังสือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องชั่ง ลูกโลก เทอร์มอมิเตอร์ เครื่องวัดความดันอากาศ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ได้ถวายกล้องโทรทรรศน์ ซึ่ง เซอร์ จอห์น เบาริง ราชทูตแห่งสหราชอาณาจักร ได้บันทึกว่า "กล้องที่นำมาถวายมีคุณภาพต่ำกว่ากล้องโทรทรรศน์ที่ทรงมีอยู่แล้ว"

เซอร์ จอห์น เบาริง ยังเขียนเล่าไว้ว่า ห้องส่วนพระองค์เป็นห้องที่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกับห้องนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่มั่งคั่งในทวีปยุโรปสมัยนั้น หมอเหา (เฮาส์) ได้บันทึกรายละเอียดไว้จากที่เขาได้เข้าเฝ้าที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อครั้งยังทรงผนวชอยู่ว่า "ข้าพเจ้าได้เหลียวมองไปรอบๆ ห้อง และเห็นพระคัมภีร์ไบเบิลของสมาคม เอ. บี. และพจนานุกรมเวบสเตอร์ตั้งเคียงบนชั้นบนโต๊ะเขียนหนังสือ นอกจากนั้นยังมีตารางดาราศาสตร์และการเดินเรือวางอยู่ด้วย ส่วนข้างบนอีกโต๊ะหนึ่งมีแผนผังอุปราคาที่จะเกิดขึ้นครั้งต่อไป มีรายการคำนวณเขียนไว้ด้วยดินสอ นอกจากนั้นยังมีแบบลอกแผนที่ของนายชานเดลอร์วางอยู่ด้วย"

พระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ การสถาปนาเวลามาตรฐานของประเทศ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีการกำหนดให้เส้นลองจิจูดที่ผ่านหอดูดาวกรีนิชในอังกฤษเป็นเส้นเมริเดียนหลักของโลก แต่กลับมีหลักฐานว่าพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงใช้การสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์สำหรับกำหนดเวลามาตรฐานของประเทศไทย โปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนย ซึ่งเป็นพระที่นั่งทรงยุโรปสูง 5 ชั้น บนยอดเป็นหอนาฬิกามีนาฬิกาขนาดใหญ่ทั้งสี่ด้าน แต่งตั้งพนักงานที่คอยวัดตำแหน่งดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และดวงจันทร์ในเวลากลางคืน เพื่อปรับนาฬิกาให้เที่ยงตรงอยู่เสมอ

เหตุการณ์ที่เป็นที่กล่าวขวัญและเป็นที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ คือ ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 หลักฐานจากประกาศหลายฉบับแสดงว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงศึกษาการคำนวณเพื่อพยากรณ์ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสุริยุปราคา จันทรุปราคา ดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์บังดาวเคราะห์ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลามาก ไม่ได้คำนวณได้รวดเร็วอย่างในปัจจุบัน

ทรงประกาศผลการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้ล่วงหน้า 2 ปี และเชิญคณะสำรวจทั้งจากฝรั่งเศส อังกฤษ และสิงคโปร์ ร่วมทั้งข้าราชบริพารมากมาย เข้ามาร่วมสังเกตการณ์โดยทรงมีรับสั่งให้สร้างพลับพลาที่ประทับ ณ หว้ากอ ต.คลองวาฬ อ.เมืองฯ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และทรงประทับรทอดพระเนตร ดวงอาทิตย์ที่ถูกดวงจันทร์บังมิดดวงอยู่นานถึง 6 นาที 46 วินาที นับว่าเป็นพระปรีชาชาญของพระองค์ที่สามารถ ทำนายการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างแม่นยำ

ตามบันทึกนั้น ได้บันทึกไว้ว่า ในวันที่พระองคทรงคำนวนไว้ว่าจะเกิดสุริยุปราคานั้น มีแต่ฝนตกและท้องฟ้ามืดมัวจนเเทบจะมองไม่เห็นพระอาทิตย์ แต่ก็ได้บังเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น กล่าวคือ เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ทรงคำนวนไว้ท้องฟ้าก็สว่างเห็นพระอาทิตย์ชัดเจนและผู้ที่ติดตามไปทั้งหมดรวมทั้งชาวบ้านในบริเวณนั้นก็ได้เห็นสุริยุปราคากันโดยทั่ว เมื่อได้เห็นสุริยุปราคาแล้ว พระองค์เจ้าอยู่หัวทรงปิติยินดีเป็นล้นพ้น ชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศสที่ได้ติดตามไปนั้นต่างก็พากันแซ่ซ้องสรรเสริญว่า พระองค์นั้นเป็นนักดาราศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง และทางฝ่ายไทยเองนั้นจึงได้ตระหนักว่า ดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ของไทยในเวลานั้นได้พ้นสมัยไปเสียเเล้ว จึงจำเป็ฯจะต้องมีการพัฒนาเรียนรู้กันอย่างมาก และคืนนั้นเองพระองค์ได้พระราชทานเลี้ยงอย่างใหญ่โตมโหฬาร

เป็นที่น่าเสียดายว่า การเสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้นั้นทำให้พระองค์ทรงประชวรเนื่องจากได้รับเชื้อไข้มาลาเรีย และเสด็จสวรรคตในวันที่ 1 ตุลาคม สร้างความเศร้าโศกแก่อาณาประชาราษฐ์เป็นอย่างมาก

หากไม่มีพระองค์ท่านเป็นนักดาราศาสตร์แล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าวงการดาราศาสตร์ไทยของเราจะเริ่มต้นช้าไปกว่านี้เท่าไหร่ค่ะ



อ้างอิง :-


1. ลำจุล ฮวบเจริญ, เกร็ดพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์, กรุงเทพฯ: the knowledge center, 2550
2.http://thaiastro.nectec.or.th/library/kingmongkut_bicentennial/kingmongkut_bicentennial.html
3.http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7
4. http://www.mahamakuta.inet.co.th/buddhism/rama/rama4.html
5. http://www.skoolbuz.com/_module/library/detail.php?con_id=1379

 ที่มาของบทความ

หลังจากเมื่อปีที่ผ่านมาเป็นปีแห่งดาราศาสตร์สากล ซึ่งประเทศไทยเราเองนั้นก็ได้มีการจัดกิจกรรมกันตลอดทั้งปีค่ะ โดยเราเองนั้นมีโอกาสได้ไปร่วมงานนิทรรศการกล้องโทรทรรศน์ที่เซ็นทรัล แอร์พอร์ต เชียงใหม่มาเมื่อประมาณปลายที่ 2553 (ด้วยความบังเอิญค่ะ) จึงคิดว่า...ในเมื่อมีกาลิเลโอเป็นตัวพ่อของวงการดาราศาสตร์สากล แล้วมีใครบ้างที่มีความสามารถด้านดาราศาสตร์อย่างมากจนน่ายกย่องเกียวกับวิชาการทางด้านดาราศาสตร์บ้าง...คิดถึงความรู้สมัยมัธยมก็นึกขึ้นได้ว่า บุคคลผู้นั้น คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ รัชกาลที่ 4 นี่อย่างไรเล่าที่เปรียบดั่งพระราชบิดาแห่งดาราศาสตร์ของประเทศไทย จึงรวบรวมข้อมูลมาจัดทำบทความนี่ขึ้นมาค่ะ


อาทิตย์ที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสเรียนวิชา TU 130 กับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เรืองศักดิ์ ทรงสถาพร ซึ่งท่านเป็นอาจารย์ที่มีความรู้รอบเจนจัดในด้านวิทยาศาสตร์อย่างมากค่ะ เรามีโอกาสได้พูดคุยกับท่านบ้าง 2- 3 ครั้ง เพราะประทับใจในบุคลิกและการสอนของท่านที่อธิบายเรื่องวิทยาศาสตร์ให้เข้าใจได้ง่ายและสนุกแก่นักศึกษา


มีอยู่หนหนึ่งเรามีโอกาสได้พูดกับอาจารย์และคุยกันเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เราสนใจเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว หลังจากการสนทนาครั้งนั้นเราก็ชื่นชมท่านมากค่ะ นอกจากท่านจะเป็นผู้ใหญ่ใจดีแล้วท่านยังมองปัญหาต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นและยังกรุณาขยายความเข้าใจ เปิดโลกทัศน์ทางความคิดของเราให้กว้างไกลมากขึ้นค่ะ อาจารย์เรืองศักดิ์ท่านจบจบจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในระดับปริญญาตรี และจบปริญญาโทและเอก จากอังกฤษและอเมริกา เกี่ยวกับฟิสิกส์ดาราศาสตร์ค่ะ


ซึ่งพอดีกับที่ว่าเรากำลังเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 ในวิชา TU 111 พอดิบพอดี ทำให้ต้องทำงานหาข้อมูลเกี่ยวกับพระราชประวัติของรัชกาลที่ 4 แล้วอ่านพบว่าพระองค์ท่านนั้น มีพระราชกรณียกิจทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างเด่นชัดปรากฏอยู่ นั้นก็คือ พระปรีชาชาญในด้านดาราศาสตร์นั้นเองค่ะ เราจึงค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อจัดทำบทความเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ